ภาพฝีพระหัตถ์ที่พระราชทานไปลงพิมพ์ในดุสิตสมิตนั้น
ล้วนเป็นภาพวาดชนิดภาพล้อเส้นหมึก
มีทั้งที่ทรงวาดไว้เป็นภาพเดี่ยวและเป็นชุด
ซึ่งสามารถจัดแบ่งภาพล้อฝีพระหัตถ์นั้นเป็นประเภทต่างๆ
ได้ ดังนี้
๑. ภาพเชิงสั่งสอน คือ
ภาพที่พระราชทานไปลงในดุสิตสมิต ฉบับแรก
ซึ่งออกจำหน่ายเมื่อวันเสาร์ที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ คือภาพที่ชื่อ
"ภาพปฤศณา"
ซึ่งทรงล้อเลียนคณะผู้จัดทำหนังสือพิมพ์
"ดุสิตสมัย" และ "ดุสิตรีคอร์เดอร์"
ซึ่งดีแต่จะตีโวหารโต้ตอบกันไปมาผ่านหน้าหนังสือพิมพ์
นอกจากภาพ "ปฤศณา" นี้แล้ว
ในดุสิตสมิตฉบับเดียวกันยังได้พิมพ์บทความชื่อ
"พิลึก"
ซึ่งกล่าวถึงหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับนั้นไว้
ดังนี้
"ขอเราพูดต่อไปตามรูปเดิมแห่งข้อความที่เราตั้งใจจะเขียนเมื่อได้เริ่มจ่าหน้าไว้ว่า
"พิลึก"
ที่เราตั้งใจจะกล่าวนั้นคือ
หนังสือพิมพ์รายวันในดุสิตธานีมีถึงสองฉบับ,
แต่จะหาข่าวเท่าเส้นผมยักษ์ก็ไม่ได้
บางทีจะเป็นเพราะมัวแต่แสดงโวหารประกวดผรุสวาทกันเสียกระมัง
จึ่งไม่มีหน้ากระดาษเหลือสำหรับลงข่าว.
นี่ท่านผู้อ่านจะย้อนถามเรากระมัง, ว่า
"ก็หนังสือพิมพ์ของท่านล่ะ, มีข่าวที่ไหนบ้าง ?"
ขอตอบว่าไม่มี, และไม่ตั้งใจจะให้มีเสียด้วยซ้ำ !
เพราะนามของเราก็บอกชัดอยู่แล้วว่า "ดุสิตสมิต"
ถ้าเราชื่อ "ดุสิตสมัย"
เราก็จะหาข่าวลงให้ทันสมัย; หรือถ้าเราชื่อ
"ดุสิตรีคอร์เดอร์" เราก็จะได้ "รีคอร์ด"
ข่าวให้ท่านอ่านจริงๆ. (ในที่นี้เราขอชี้แจงว่า
เราออกสำเนียงคำ "Record" ว่า "รีคอร์ด" เช่นนี้,
ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเขาออกสำเนียงคำนี้ว่าอย่างไรฉนั้นหามิได้,
แต่เพราะเจ้าของเขาเรียกนามหนังสือพิมพ์ของเขาว่า
"รีคอร์เดอร์" เราจึงได้พลอย "รี" กับเขาไปด้วย).
เราชื่อ "ดุสิตสมิต"
เราก็ตั้งใจแต่จะให้ผู้อ่านของเราได้ "สมิต"
(ยิ้ม) น้อยบ้างใหญ่บ้าง,
หรือแห้งบางตามทีเท่านั้น"
[๑] |
๒. ภาพเชิงบันทึกเหตุการณ์
เป็นภาพที่ทรงเขียนขึ้นเพื่อบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นไว้
มีอาทิ
ภาพ "ศิลป์ศรไม่กินกัน" ลงพิมพ์ในดุสิตสมิต
ฉบับที่ ๔ วันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑
ความหมายของภาพคือ
คณะฟุตบอลแห่งชาติสยามและคณะราชกรีฑาสโมสร
ซึ่งได้แข่งขันฟุตบอลระหว่างชาติชิงถ้วยทองของหลวงกันมาเป็นประจำทุกปี
ได้เริ่มแข่งขันครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๔๕๘ คณะฟุตบอลแห่งชาติสยามเป็นฝ่ายชนะ ๒ : ๑
แต่การแข่งขันในอีกสามปีต่อมา คือ พ.ศ. ๒๔๕๙, ๒๔๖๐
และ ๒๔๖๑ นั้น
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่สามารถเอาชนะกันได้
ภาพ "พรานเก่งไหมขอรับ"
เป็นภาพที่พระราชทานไปลงพิมพ์ในดุสิตสมิต ฉบับที่
๙ วันเสาร์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๑
ในโอกาสที่ทีมฟุตบอลกรมเสือป่าพรานหลวงรักษาพระองค์ได้ครองถ้วยชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลถึง
๒ ถ้วยในปีเดียวกัน คือ "ถ้วยทองนักรบ"
สำหรับการแข่งขันในระหว่างทีมสโมสรต่างๆ
ทั้งฝ่ายทหาร พลเรือนและเสือป่า ณ
สนามสโมสรเสือป่าพระราชวังดุสิต
ในระหว่างเดือนสิงหาคม - พฤศจิกายน กับ
"ถ้วยน้อยนักรบ"
ซึ่งเป็นการแข่งขันในระหว่างกรมกองทหารและเสือป่าที่ได้ตามเสด็จไปในการซ้อมรบเสือป่าประจำปี
ณ ค่ายหลวงพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม
และค่ายหลวงบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี
ในระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม
ภาพนายทหารถือธงไตรรงค์ มีป้าย ๒๔๖๑
ปักไว้ที่พื้นนั้น
เป็นภาพที่ทรงเขียนและพระราชทานไปลงในดุสิตสมิต
ฉบับที่ ๑๗ วันเสาร์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๒
พร้อมคำอำนวยพรปีใหม่ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๒
ซึ่งในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น
ธงไชยเฉลิมพลของกองทหารบกรถยนต์ซึ่งได้ไปในงานพระราชสงคราม
ณ ทวีปยุโรปเพิ่งจะได้รับตรา "ครัวเดอแกรซ์"
(Croix de Guerre)
อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทางทหารจากรัฐบาลฝรั่งเศส
ดุสิตสมิตฉบับเดียวกันนี้จึงได้ลงบทความเรื่อง
"ธงไทยได้ตรา" มีเนื้อความว่า
"หนังสือพิมพ์รายวันบางฉบับได้ลงแล้วถึงเรื่องที่กองทหารไทยเราในสมรภูมิตวันตกได้ตราฝรั่งเศษ.
แต่ด้วยเหตุที่หนังสือพิมพ์รายวันนั้นๆ
แถลงข้อความแต่โดยย่อๆ,
เราผู้ที่ได้ทราบเรื่องนี้พอเปนหลักฐานอยู่บ้าง
จึ่งถือโอกาศแถลงข่าวอันเปนที่น่ายินดีนี้ให้พิสดารสักหน่อย.
และอีกประการหนึ่งเราจะทิ้งโอกาสในการที่มีนามว่าไทยและงดการกระพือปีกรำแพนด้วยความปลื้มปิติ
ด้วยเพื่อนร่วมชาติของเราได้ไปทำชื่อเสียงและเกียรติคุณไว้ในแดนไกลเช่นนั้นไม่ได้;
จึ่งขอเล่าดังต่อไปนี้
เมื่อวันที่ ๒๗ เดือนมีนาคม เสนาธิการทหารบก
[๒]
ได้ทรงรับโทรเลขจากนายพลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ์
[๓]
ความว่า
"โปรดนำข้อความในโทรเลขนี้ทูลเกล้าฯ
ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย.
ก่อนอื่นข้าพระพุทธเจ้าจะต้องกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า
การที่ข้าพระพุทธเจ้าจะต้องจากกองรถยนต์ไทยมาก่อน
จึ่งได้จัดการให้มีการฉลองธงชัยเฉลิมพลของใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท.
พิธีนี้ได้กระทำที่เมืองนอยสตัดท์ต่อหน้าประชาชนชาติศัตรู.
ข้าพระพุทธเจ้ามีความปลื้มใจที่จะกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า
นายพลผู้บัญชาการทัพฝรั่งเศษได้ถือโอกาศนี้
ให้ตรากางเขนสงคราม [๔]
แก่ธงชัยเฉลิมพลของใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท,
เพื่อเปนเครื่องแสดงว่า
ตั้งแต่ทหารไทยได้เข้าร่วมมือกระทำกิจสงคราม
เขาได้แสดงกิริยาองอาจกล้าหาญมิได้ย่อท้อต่อกระสุนปืนของข้าศึก
เช่นเมื่อระหว่างวันที่ ๒๖ ถึง ๓๑
ตุลาคมนี้เปนต้น.
ครั้นแล้วกองทหารไทยได้เดินสวนสนามอย่างสง่าผ่าเผย.
ข้าพระพุทธเจ้ามีความยินดีที่จะกราบบังคมทูลว่า
รู้สึกเปนเกียรติยศอย่างยิ่งที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชวโรกาศให้เปนผู้ควบคุมผู้ที่มีคุณวุฒิเช่นนั้น
และข้าพระพุทธเจ้ามีความยินดีด้วยใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทยิ่งนัก."
มีใครบ้างในหมู่คนไทยที่จะไม่รำแพนในการที่ได้ทราบข่าวดีเช่นนี้.
เมื่อก่อนหน้าที่จะได้ส่งทหารออกไปยุโรปซิมีเสียงพูดกันต่างๆ
นาๆ.
เดี๋ยวนี้ขอถามหน่อยว่าถ้าหากไม่ส่งทหารออกไปละก็จะได้รำแพนเช่นนี้ฤา?
ก็เปล่าอีกนั้นแหละ,
ขี้คร้านจะต้องนั่งนิ่งอ้าปากคอยอ่านข่าวโทรเลขประเทศโน้นเปนอย่างนั้น
ประเทศนั้นได้อย่างนี้, ก็จะต้องเสียใจภายหลัง
คราวนี้ถึงคราวแล้วที่ไทยเราจะเดินเกี่ยวแขนกับประเทศน้อยใหญ่ได้อย่างอกผายไหล่ผึ่ง,
ใครเล่าจะมาดูแคลนไทยเราอีก.
พวกเราได้เห็นพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
ณ บัดนี้โดยตระหนัก.
นอกจากพระองค์จะปกครองร่มเกล้าฯ
ให้เราเปนสุขแล้วยังทรงนำเกียรติศักดิ์ไทยแผ่เผยไปในแดนไกลอีกด้วย.
ขอเชิญท่านนึกดูทีหรือว่าตั้งแต่ไทยได้เปนไทยมาเคยมีเช่นนี้บ้างไหม?
ฉะนั้นควรจะระฦกถึงพระมหากรุณาธิคุณ
และช่วยกันเปล่งถวายพระพรชัยมงคล.
ขอให้พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีทรงพระเจริญ.
ชโย."
[๕] |
๓. ภาพเพื่อการกุศล
เป็นภาพที่ทรงเขียนขึ้นเพื่อจัดจำหน่ายหารายได้บำรุงการกุศลสาธารณะ
ภาพที่ทรงวาดเพื่อการกุศลภาพแรกคือ ภาพ
"เราขอชักชวน"
เป็นภาพนักเรียนมหาดเล็กหลวงแต่งเครื่องแบบนักเรียนตามที่ทรงกำหนดไว้ในพระราชกำหนดเครื่องแต่งตัวข้าราชการฝ่ายพลเรือนในพระราชสำนักนิ์
ร.ศ. ๑๒๙ คือ
สวมหมวกหนีบสีน้ำเงินติดดุมเงินตราพระมหามงกุฎที่หน้าหมวกหนีบ
๒ ดุม
ที่ขวาหมวกประดับเข็มเครื่องหมายเงินรูปพระวชิราวุธมีพระมหามงกุฎอยู่เหนือ
เสื้อผ้าขาวแบบราชการ (ราชปะแตน)
ติดดุมเงินตราพระมหามงกุฎ ๕ ดุม
ที่คอติดแผ่นคอพื้นสีน้ำเงินมีแถบเงินกว้าง ๑
เซนติเมตรพาดกลางตามทางยาว กับมีอักษร ม.
โลหะสีเงินติดทับที่กึ่งกลางแผ่นคอทั้งสองข้าง
กางเกงไทยขาสั้นสีน้ำเงิน ถุงเท้าดำ รองเท้าหนังดำ
พระราชทานไปลงพิมพ์ในดุสิตสมิตฉบับพิเศษ
"เฉลิมพระชนมพรรษา ๒๔๖๑" คู่กันกับบทความเรื่อง
"เราขอชักชวน" ของมหาสมิต
[๖]
ซึ่งมีเนื้อความ ดังนี้
"หนังสือพิมพ์รายวันบางฉบับได้ลงแล้วถึงเรื่องที่กองทหารไทยเราในสมรภูมิตวันตกได้ตราฝรั่งเศษ.
แต่ด้วยเหตุที่หนังสือพิมพ์รายวันนั้นๆ
แถลงข้อความแต่โดยย่อๆ,
เราผู้ที่ได้ทราบเรื่องนี้พอเปนหลักฐานอยู่บ้าง
จึ่งถือโอกาศแถลงข่าวอันเปนที่น่ายินดีนี้ให้พิสดารสักหน่อย.
และอีกประการหนึ่งเราจะทิ้งโอกาสในการที่มีนามว่าไทยและงดการกระพือปีกรำแพนด้วยความปลื้มปิติ
ด้วยเพื่อนร่วมชาติของเราได้ไปทำชื่อเสียงและเกียรติคุณไว้ในแดนไกลเช่นนั้นไม่ได้;
จึ่งขอเล่าดังต่อไปนี้
"เราขอชักชวน ให้ท่านชำเลืองดูรูป "คาร์ตูน"
ที่เปนฝีพระหัดถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงเขียนขึ้นเพื่อพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์แก่โรงเรียนมหาดเล็กหลวง.
ที่จริงใครๆ ก็ย่อมจะทราบอยู่แล้ว
ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเขียนรูปน้อยทีเดียว.
และเราได้ยินพระราชกระแสรทรงออกพระองค์อยู่เสมอว่ามิได้ทรงศึกษาในทางวาดเขียนเลย
เพราะฉนั้นการที่ทรงเขียนรูปนี้
และพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เรานำลงหนังสือพิมพ์
"ดุสิตสมิต" ฉบับพิเศษนี้,
จึ่งนับว่าเปนเกียรติยศพิเศษแก่คณะเราส่วน ๑
ซึ่งเราไม่สามารถจะหาถ้อยคำสำแดงความรู้สึกภูมใจให้เพียงพอได้.
นอกจากนี้ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พิมพ์จำลองรูปนี้ขึ้นสำหรับให้นักเรียนมหาดเล็กหลวงขายในงานออกร้านที่สวนจิตรลดา,
เพื่อจะได้เก็บเงินส่งบำรุงโรงเรียนมหาดเล็กหลวง.
เราหวังใจว่าผู้อ่านของเรา
ถึงแม้ได้ซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับพิเศษนี้แล้ว
ก็จะซื้อรูปจำลองที่นักเรียนมหาดเล็กจะขายนั้นอีกด้วย.
เพราะรูปจำลองนั้นจะเปนแผ่นเขื่องกว่าที่แนบอยู่ในหนังสือพิมพ์นี้.
ทั้งจะได้มีโอกาสเอารูปนั้นเข้ากรอบโดยไม่ต้องตัดออกจากหนังสือพิมพ์นี้ด้วย.
ถ้าท่านซื้อรูปนั้นแล้วจะได้รับความพอใจเปน ๒
สถาน. คือ สถาน ๑
ได้มีรูปที่จำลองฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.
อีกสถาน ๑
เท่ากับได้บำเพ็ญกุศลโดยเสด็จในการพระราชทานวิทยาทานแก่กุลบุตร์,
ผู้จะเปนเหมือนกระดูกสันหลังของชาติเราสืบไป.
เพราะฉะนั้นขออย่าให้ลืม เชิญซื้อจงได้นะขอรับ !
มหาสมิต" [๗] |