"อันเหล่าเสวามาตย์ราชบริพาร
ผู้ที่มีน่าที่รับราชการในกระทรวงและกรมในพระราชสำนักนั้น
ย่อมเปนผู้ที่ปฏิบัติราชการอยู่ในน่าที่ใกล้ชิดพระองค์
เพราะฉะนั้นจึงสมควรที่จะเปนผู้ที่ดีไม่เปนที่ทรงรังเกียจ
และทั้งเปนผู้ประพฤติสัมมาจารี
ไม่ควรที่จะให้มีผู้ติฉินนินทาได้ว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชุบเลี้ยงตั้งแต่งคนที่ไม่ดีไว้ในที่ใกล้ชิดพระองค์
ทั้งอาจจะที่จะมีผลให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศได้ด้วย
ข้าราชการในพระราชสำนักเปนบุคคลจำพวกที่สุดที่จะควรกล่าวว่ากิจส่วนตัวไม่เกี่ยวแก่น่าที่ราชการ
เพราะถ้าจะว่ากันอย่างสามัญชนคนใช้ที่ประพฤติไม่ให้เปนที่ต้องอัธยาไศรยแห่งนายแล้ว
ถึงแม้ว่าจะมีสติปัญญาสามารถฉลาดเฉลียวสักปานใด
ก็คงไม่สามารถจะอยู่ร่วมเคหะสถานกันได้
ดังนี้ฉันใด
ส่วนข้าราชการในพระราชสำนักก็เปนเช่นนั้น
เมื่อราชเสวกผู้ใดทราบอยู่แล้วว่าสิ่งไรไม่เปนที่ต้องด้วยพระราชอัธยาไศรยนิยม
แต่ขืนประพฤติสิ่งนั้นเพื่อความพอใจแห่งตนเอง
โดยถือว่าเปนกิจส่วนตัว
ไม่เนื่องด้วยน่าที่ราชการดังนี้
ก็คงเปนอันว่าเปนผู้ที่ไม่สมควรรับราชการอยู่ในพระราชสำนัก
ควรจะต้องย้ายไปแห่งอื่นดีกว่า
ทางที่จะให้ทรงรังเกียจในส่วนตัวราชเสวกผู้
๑ ผู้ใดนั้น
นอกจากความประพฤติเปนคนขี้เมาหรือนักเลง
หรือคนมักพูดปด
ซึ่งเปนความเสียหายในส่วนตัวเอง
ยังอาจจะเปนไปด้โดยมีครอบครัวอันเปนที่ทรงรังเกียจได้อีก
ในเรื่องการสมพาศแห่งคยในสมัยนี้
ทรงสังเกตว่าดูเปนไปโดยอาการอันสำส่อน
ไม่เปนระเบียบเรียบร้อย
ไม่ใคร่เลือกหญิงที่เรียบร้อยแท้จริง
ชายหนุ่มมักพอใจสมจรด้วยหญิงแพศยาหาเลี้ยงชีพโดยทางบำเรอกามคุณ
และมักเข้าใจไปว่าการสมจรเช่นนี้
เปนของควรนิยม
เพราะคล้ายคลึงกับแปบบแผนแห่งยุโรปประเทศ
ซึ่งเปนความเข้าใจเอาเองโดยพอใจใคร่ให้เปนเช่นนั้น
และการมีภรรยาแต่งงานสมรสอบ่างโบราณประเพณีมักถือกันว่า
เปนของพ้นสมัยเสียแล้ว
แม้ใครประพฤติก็ได้ชื่อว่าคนภูมิเก่าคร่ำคร่า
หรือฌง่เง่าเต่าปูปลาไม่รู้จักประเพณีนิยมอย่างสมัยใหม่
ดังนี้เปนต้น
โดยปรกติในประเทศมีสมเด็จพระราชาธิบดีเปนผู้ทรงปกครอง
ความนิยมในทางจริยาต่างๆ
มหาชนมักเพ่งเล็งดูตามพระราชนิยมเปนที่ตั้ง
แต่ผู้ที่มิได้มีโอกาศได้เข้าเฝ้าทูลลอองธุลีพระบาทในที่ใกล้เคียงเพียงพอมิอาจที่จะทราบพระราชนิยมได้โดยถนัด
ก็ต้องเพ่งเล็งดูทางปฏิบัติและจรรยาแห่งข้าราชการในพระราชสำนักเปนหลัก
เพื่อสันนิษฐานทางแห่งพระราชนิยม
ความจริงมีอยู่ดังนี้เหมือนกันหมดไม่ว่าในประเทศใดๆ
ทั้งในบุรพทิศและปรัศจิมทิศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าพระราชหฤทัยในข้อนี้ชัดเจนอยู่
จึงได้ทรงพระอุตสาหพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่ข้าราชการในพระราชสำนักอยู่เนืองๆ
ในเรื่องจรรยาและความประพฤติอันควรแก่ราชเสวกซึ่งแท้จริงบรรดาราชเสวกควรที่จะรู้สึกพระมหากรุณาธิคุณ
และที่แท้ควรที่จะมีใจรู้สึกความกตัญญูกตะเวที
ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงตามพระบรมราโชวาท
และพระราชนิยมอันได้ทรงแสดงให้ปรากฏมาหลายคราวแล้วนั้น
โดยความเคารพต่อพระบรมเดชานุภาพ
ฝ่ายผู้ใหญ่อันเปนผู้มีน่าที่บังคับบัญชาราชการต่างพระเนตร์พระกรรณก็ควรที่จะหมั่นเอาใจใส่ว่ากล่าวตักเตือนผู้น้อยที่ไร้สติให้อุตสาหพยายามประพฤติตนให้เปนที่พอพระราชอัธยาไศรยเช่นนี้จึงจะถูก
แต่การหาเปนไปเช่นนี้ทั่วถึงไม่
เพราะราชเสวกที่เปนคนหนุ่มคะนอง
เมื่อมีความปรารถนาจะใคร่ประพฤติตามใจตนเอง
ก็พอใจอวดดีทำตนเปนคนสมัยใหม่
ประพฤติสงบเสงี่ยมอยู่แต่เฉพาะเวลาที่อยู่น่าพระที่นั่ง
พอลับหลังไปแล้วก็ไปเที่ยวประพฤติสำมเลเทเมาตามนิไสยอันทรามของตน
และที่ผู้น้อยประพฤติอยู่ได้เช่นนี้ก็เพราะผู้ใหญ่บางคน
ซึ่งรู้แล้วว่าผู้น้อยประพฤติตนเปนลิงหลอกเจ้าอยู่นั้น
ก็หาว่ากล่าวตักเตือนโดยอาการอันเข้มงวดอย่างผู้ใหญ่ไม่
กลับไปพูดจาและแสดงกิริยาอาการให้เห็นปรากฏว่า
การที่ว่ากล่าวนั้นโดยเสียไม่ได้
คือขัดพระราชบริหารไม่ได้เท่านั้น
แท้จริงเห็นใจกัน
ดังนี้จึงทำให้ผู้น้อยกำเริบได้ใจ
ฝ่ายผู้ใหญ่จะว่าผู้น้อยไม่ได้เต็มปาก
ก็เพราะตนเองก็ประพฤติเหลวไหลอยู่เช่นนั้นเหมือนกัน
ตรงกับโบราณภาษิตว่า "ไก่เห็นตีนงู
งูเห็นนมไก่" ไม่มีใครกล้าทำอะไรใครได้
การที่ประพฤติผิดพระราชนิยมในข้อใดๆ
ก็ไม่สำคัญเท่าในข้อที่เกี่ยวด้วยการมีครอบครัว
เพราะหญิงดีย่อมเปนศรีแก่ชาย
แต่หญิงร้ายย่อมนำความพินาศฉิบหายมาสู่ผู้ที่สมพาศ
หาเสนียดจัญไรอย่างใดเสมอเหมือนได้โดยยาก
เพราะฉะนั้นจึงทรงพระราชดำริห์ว่า
เปนการสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องทรงกวดขันเรื่องครอบครัวแห่งข้าราชการในพระราชสำนักให้ยิ่งขึ้น
เพื่อมิให้เปนที่ติฉินนินทาแห่งผู้อื่นได้
แต่ครั้นว่าจะเปนแต่เพียงพระราชทานพระบรมราโชวาทอย่างเช่นที่เคยมาแล้วนั้น
ถ้าราชเสวกบางคนที่อวดฉลาดอวดดีก็จะหาหนทางหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกระแสพระบรมราโชวาท
ก็จะเปนเครื่องเสื่อมเสียพระบรมเดชานุภาพ
ทั้งจะเปนหนทางให้คนอวดดีอวดฉลาดมีความกำเริบได้ใจยิ่งขึ้น
จึงเปนความจำเปนที่จะต้องจัดวางระเบียบลงไว้ให้เปนหลักฐานมั่นคง
อันจะไม่มีหนทางหลีกเลี่ยงได้" [๑] |