...โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระจุลจอมเกล้าฯ
อันเป็นรากเหง้าแห่งจุฬาลงกร์มหาวิทยาลัยนี้มีประวัติที่แจ้งอยู่แล้วว่าเป็นพระราชปฏิการคุณในพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เพื่อสนอง พระราชประสงค์แห่งองค์บรมชนกนาถ
แต่ชื่อของโรงเรียนยังจำกัดว่าจะฝึกหัดคนเฉพาะใช้ราชการ
ต่อมาเมื่อการศึกษาของบ้านเมืองได้ก้าวเข้าสู่ความกว้างขวางที่ต้องการแผ่อุดมศึกษาให้แก่พลเมืองผู้มีปัญญาความสามารถ
ไม่ว่าจะไปประกอบอาชีพใดๆ แม้ที่ไม่ใช่ราชการ
พระมงกุฎเกล้าจึงมีพระราชดำรัสแก่ฉันผู้เป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการเวลานั้นว่า
ชื่อของวิทยาลัยนั้นยังส่อตัว
อาจทำให้คนเข้าใจผิดว่าจะฝึกหัดให้เขาทำราชการท่านั้น
แทนที่จะเข้าใจว่าเป็นตลาดวิชา
ใครปรารถนาอะไรก็มาซื้อหาเอาได้ไม่ว่าจะข้าราชการหรือไปทำงานส่วนตัวในบริษัทใดๆ
หรือในหน้าที่พลเมืองทั่วไปได้
มีพระราชดำรัสถามฉันว่า
จัดตั้งเป็นมหาวิทยาลัยเสียทีเดียวไม่ได้หรือ?
จะได้เป็นตลาดวิชาให้คนเข้าใจถูกเสียทีเดียว
ที่ฉันกล่าวข้างต้นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเกร็ด
จะค้นหาจากบันทึกใดๆ ไม่ได้ทั้งหมด
ก็เพราะเป็นเพียงพระราชปฏิสันถารเป็นการหารือกับเสนาบดีของท่านในที่รโหฐาน
คือที่พระตำหนักจิตรลดาในเวลาประทับ ณ ที่นั้น
ฉันได้กราบบังคมทูลสนองพระราชปรารภว่า
ถ้าถือเอาอ๊อกสฟอร์ดหรือเคมบริดซ์เป็นมาตรฐาน
เรายังไม่พร้อมที่จะสถาปนามหาวิทยาลัย
จะต้องลงทุนรอนมากมายนัก
ทั้งเงินทั้งคนของเรายังไม่พร้อม
แต่ถ้าจะลดหย่อนลงมาเพียงมหาวิทยาลัยรุ่นใหม่ๆ
ซึ่งกำลังเกิดขึ้นสพรั่งราวกับดอกเห็ด
ทั้งในตะวันตกและตะวันออก เราก็พอทำได้
มหาวิทยาลัยใหม่ๆ
นี้เปรียบเหมือนเป็นโรงเรียนกลางวัน แต่ออกสฟอร์ด
เคมบริดซ์
เปรียบเหมือนโรงเรียนประจำต่อยอดไปจากปับลิคสกูลของอังกฤษ
การจัดต้องแพงกว่ากันมาก
เมื่อคิดเทียบจำนวนนักเรียนเป็นหัวละมากน้อยในการลงทุนให้การศึกษาแก่เขา
มหาวิทยาลัยเก่าของอังกฤษเท่ากับเป็นที่ประทับตราว่าคนนี้ออกไปทำงานอะไรๆ
ก็ไว้ใจได้ เขาเป็นสุภาพบุรุษโดยสมบูรณ์แล้ว
แต่มหาวิทยาลัยใหม่จะประทับตราให้ได้แต่เพียงว่า
คนนี้มีวิชาเอนจิเนีย, แพทย์, กฎหมาย, วิทยาศาสตร์,
อักษรศาสตร์ ฯลฯ
ประถมและมัธยมศึกษาของเราใช้แผนโรงเรียนกลางวันอยู่แล้ว
เมื่อตั้งมหาวิทยาลัยก็ต้องไปแผนนั้นด้วย
การมีหอสำหรับนักเรียนประจำบ้างนั้น
ไม่ทำให้มหาวิทยาลัยเปลี่ยนแผนเช่นเดียวกับการมีโรงเรียนประจำเล่นสองสามโรงเรียน
ไม่ทำให้เราขึ้นชื่อว่าใช้แผนโรงเรียนประจำ
พระราชดำรัสต่อไปนั้นว่า
แผนปับลิคสกูลก็มีแต่ของอังกฤษซึ่งเจ้าของอวดนัก
ได้ทำมานานหนักหนาแล้ว
นอกนั้นทั้งบนภาคพื้นยุโรปและอเมริกาก็ต้องใช้แผนโรงเรียนกลางวัน
เราทุนน้อย
จะให้ได้งานมากก็ต้องเลือกเอาข้างโสหุ้ยน้อยอยู่เอง
ว่าแต่ว่าจะถึงเวลาที่เราจะตั้งมหาวิทยาลัยสมัยใหม่กับเขาบ้างได้หรือยัง?
ฉันสนองพระราชปุจฉาว่า
จำนวนนักเรียนจบมัธยมบริบูรณ์ของเรายังน้อยมาก
โรงเรียนข้าราชการพลเรือนยังต้องรับผู้จบมัธยมหก
ในแง่นี้แง่เดียวก็อาจมีผู้คัดค้านได้ว่ายังไม่ถึงเวลา
แต่การศึกษาของเราทุกส่วนได้ดำเนินตามพระบรมราโชบายที่เร่งเวลาและไปหน้าเวลาทั้งนั้น
เป็นการปฏิบัติทางล่อให้เกิด ดิมานด์
แทนที่จะคอยแต่ตั้ง สับพลาย ขึ้นรับดิมานด์
พระราชดำรัสต่อไปนั้นว่า
นี่คือนิติธรรมของประเทศจัดใหม่
ซึ่งต้องตัดทางลัดเพื่อให้ถึงที่หมายทัน
เขาจะไปมัวคอยให้ "ดิมานต์"
เกิดเสียก่อนแล้วจึงขยับตัวตามอย่างไรได้?
ประเทศจัดก่อนเขาจำเป็นอยู่เองจะต้องเดินตามหนทาง
ซึ่งต้องอ้อมวกเวียน เพราะต้องคิดเอาเอง
ไม่มีแบบอย่างต้องตรัสรู้ต่อยอดจากที่รู้กันแล้ว
ก่อนตรัสรู้ต้องทิ่มผิดทิ่มถูกไปตามเพลงของการค้นคว้า
ฉะนั้น นิติธรรมของเขาก็คอยดูนิมิตร คือ "ดิมานต์"
ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจะได้ไหวตัวตามโดยจัดตั้ง "สับพลาย"
รับให้พอเหมาะ เดินเถิดอย่าคอยเวลาเลย
อย่างไรเสียเราก็ต้องการมหาวิทยาลัย
ตั้งเสียเดี๋ยวนี้ทีเดียว
จะได้เป็นตลาดวิชาของเมืองไทย
ไม่เป็นแต่เพียงที่เพาะข้าราชการไว้ใช้...
[๓] |